โอกาสที่ BP(Business Partner) จะสำเร็จ 1,300ล้านบาทในปี 2565 นี้


คุณวรวิทย์  :  อยากให้เฮียนะครับ ขยายความตรงนี้หน่อยว่า เฮียเห็นโอกาสของการที่เราจะ Achieve หรือเราจะประสบความสำเร็จ 1,300 ร้อยล้าน จากที่ BPเนี่ยตัวนี้มากน้อยขนาดไหน
คุณสุรชัย (เฮียฮ้อ) : ต้องบอกยังนี้ว่า วันนี้เราได้สื่อสารกับ BP (Business Partner)  วันนี้ผมก็จะบอกอย่างงี้ก่อนว่าเห็นตรงกับผมก่อนอย่างหนึ่งนะครับว่าอันนี้เรื่องจริงนะครับ วันนี้คนแพ้กับคนอ่อนแอไม่มีที่ยืนนะอย่างแรก เราต้องช่วยเรื่องนี้กันก่อน เรื่องที่สอง คนธรรมดาๆไม่มีใครสนใจ พวกเราจะไม่เป็นคนสองประเภทนี้  ผมก็จะชวนว่า พวกเราจะต้องเป็นคนที่เชื่อว่าเราเป็นคนที่โดดเด่นและคนที่ฉลาด คนที่โดดเด่นและฉลาดมันมีความสามารถมันรู้เองว่าเราควรอยู่ตรงไหน ควรจะทำอะไร เพราะฉะนั้นผมว่าBPทั้งหมดถ้าฟังเฮีย ผมขอให้เราเชื่อเรื่องเดียวกันเถอะว่า ทุกคนคือคนที่ฉลาดและโดดเด่นได้ ถ้าคุณฉลาดเเละโดดเด่นได้เราจะมีที่ยืนและเราจะก้าวไปอย่างมั่นคง เราก็จะมีศักดิ์ศรี รวยด้วย เท่ห์ด้วย รวยเเล้วต้องเท่ห์ ไม่ใช่รวยแล้วไปไหนคนก็ยี้ไม่ได้ รวยเเล้วต้องเท่ห์ มีเเต่คนอยากมาหาเราเป็นอย่างพี่ ทำอย่างไงหรอ ที่จะมีชีวิตดีอย่างนี้ อ๋อ เราก็เเนะนำเขาได้ อันนี้คือสิ่งผมอยากให้เป็น วันนี้เขาเห็นเราดีเนี้ย พี่ทำไรหรอ อ๋อ ทำเนี้ยนะ แบบนี้นะ มีเรื่องราวเล่านะครับ เราก็เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับBusiness Partner ใหม่ๆที่จะเข้ามา ที่คุณวิทย์ถาม BP(Business Partner) มีความหมายอย่างไง ผมว่านี้เป็นหัวใจสำคัญ อย่างที่ผมบอก สมองคิดนะครับแขนขาไม่เดิน ไปไม่ได้ ผมจะคิดดีเเค่ไหน มีอาวุธเเค่ไหน ก็เเขนขามันคือกองทัพ กองทัพไม่เดินเเล้วไม่ใช้อาวุธที่ผมให้ไป ไม่ไปยิง ไม่ไปเก็บเกี่ยว ไม่ไปใช้ประโยชน์มันก็ไม่เกิดผล เพราะฉะนั้นบนภาพใหญ่ คือกลยุทธ์ถูกต้อง Directionถูกต้อง แผนการตลาดถูกต้อง BP(Business Partner)  คือหัวใจสำคัญ  ที่จะทำให้สิ่งต่างๆเหล่านี้มันเป็นผลลัพธ์ที่เป็นไปตามเป้าหมาย บรรลุผลได้ นี้เป็นความสำคัญมากนะครับ
 

คุณวรวิทย์  :  ถ้าเราจะสามารถเป็นผู้นำเกมส์ในตลาดนะครับ เปลี่ยนแปลง พลิกโฉม อะไรคือสิ่งสำคัญ หรือหัวใจสำคัญที่เราจะเป็นผู้ชนะตรงนี้ อยากให้เฮียช่วยสรุปประเด็นสำคัญๆตรงนี้สักหน่อยนะครับ
คุณสุรชัย (เฮียฮ้อ)  :  ผมคิดว่าวันนี้ ที่เฮียพูดทั้งหมดมันไม่ได้มาทีเดียว มันจะค่อยๆเป็นค่อยๆไป หมายถึงกลยุทธ์ ผมเป็นคนคิดเร็วทำเร็วนะครับ วันนี้เราต้องทำกันทันที เราก็ยืนยันว่า BP(Business Partner)  ทุกคนไม่ว่าจะเป็นระดับผู้นำจนถึงระดับต่างๆลงไป พวกเรามีจุดเเข็งอยู่เเล้ว มีความสามารถอยู่เเล้ว มีประสบการณ์อยู่เเล้ว เพียงเเต่ว่า ในอดีตก็เเล้วกัน เราก็อาจจะยังอยู่แบบ โอเคเท่านั้นเพียงพอ เท่านั้นเพียงพอ เฮียเลยชวนคุยว่าต้องคิดใหม่ ทำใหม่ ปรับ Mindset ใหม่ เเล้วเอาจุดเเข็ง จุดเด่นที่เราเคยมีทำได้เลยนะครับ ผมพูดชัดมาก เคยทำ5 ครั้ง ทำมัน 20 ครั้ง คุณทำ 5 ครั้ง คุณวางคนได้หนึ่ง ถ้าคุณทำ 20 ครั้ง คุณอาจจะได้ 3 ได้ 4 อะไรอย่างงี้เป็นต้น เหมือนปาเป้ามากขึ้น จับปลามากขึ้น ก็มีโอกาสได้ปลาติดมือมากขึ้น จับบ่อยขึ้นก็ได้มากขึ้นอย่างนี้ ทำได้เลยนะครับ แล้วตอนนี้จริงๆ กลยุทธ์ต่างๆที่ทางเราเริ่มวางเเล้ว ไม่ว่าจะเป็น 3 กลยุทธ์ ถามหาคนเก่า เพิ่มคนใหม่ สร้างทีมใหญ่ อะไรอย่างนี้ มันทำได้เลยนะครับ แล้วสำคัญมาก ส่วนเรื่องที่ว่าเมื่อเราเป็น TOP 3 สำคัญตรงไหน ผมยืนยันว่ามันเป็นเรื่องสำคัญมาก ไม่ใช่ตัวเลข 3,500 ร้อยล้าน ที่เราเป็น TOP 3 ตัวเลขนี้เรื่องหนึ่ง ULife คือตัวที่จะแตกต่างคือ รูปแบบของธุรกิจ ULife BP (Business Partner)  ทุกคนที่อยู่ในองค์กรเดียวกับเราเป็นสมาชิก เป็นครอบครัว ULife ก็จะเห็นว่า ULife  เราเป็นรูปแบบธุรกิจขายตรงที่มีความหลากหลาย มีอาวุธครบเครื่อง เเล้วก็มีความมั่นคง มีศักดิ์ศรี สิ่งต่างๆเหล่านี้ที่เฮียพูด มันจะทำให้เรายั่งยืน คือการทำธุรกิจ ผมเรียนเลยว่า ใหญ่นะยากไหม ยาก  แต่ยากกว่านั้นคือ คุณใหญ่เเล้วคุณอยู่ได้ไหม ทุกๆอุตสหกรรมเลยครับ RS วันนี้ใหญ่ไหม RS ใหญ่ขึ้นทุกเดือน ผมโตขึ้นทุกปี แต่นั้นยังไม่ยากเท่าที่ผมกำลังคิดอยู่คือ เป็นESG ทำยังไงให้องค์กรมีความยั่งยืน ซึ่งจะยั่งยืนได้ เหมือนเดิม ยั่งยืนไม่ได้มองที่กำไรและยอดขายอย่างเดียว องค์กรที่จะยั่งยืนได้นอกจากยอดขายที่เติบโตต่อเนื่อง มีกำไรสม่ำเสมอเเล้ว คุณต้องมีความหมายกับสังคม มีเหตุเเละผลของการอยู่ ทำไม ULife อยู่แล้วมันตอบใคร ตอบเขาเรื่องอะไร เราตอบผู้บริโภคเรา เรามีสินค้าดีๆ ซึ่งอนาคตจะมีมากหลากหลาย ในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรที่เราคิดว่าดีจะนำส่ง หรือ ใครอยากจะมีธุรกิจก็เข้ามาเป็นสมาชิกเรา เราก็ตอบโจทย์ได้ทุกมิติ เราจะเปลี่ยนภาพลักษณ์เขา ในอดีตจะเป็นแบบหนึ่งในอนาคตจะไม่เหมือนวันนี้เเน่นอน จริงๆ ทั้งหมดทั้งหลายทั้งปวง หัวใจสำคัญที่จะทำให้เกิดคือ BP (Business Partner) เป็นหัวใจสำคัญ เเล้วเป็นโฟกัสที่เฮียมอง เฮียถึงพยายามที่จะเปลี่ยนทีมบริหารเสมอ ว่าสิ่งต่างๆต้องไปแล้วให้ชนะเท่านั้น คือเป็นอย่างนั้นจริงๆ เวลาผมทำธุรกิจ ในอดีต เวลามองผมจะมองผู้เล่นในตลาดแล้วก็มามองเรา เขามีอะไรที่เขาชนะ เเละผมจะเข้ามา ผมมีอย่างที่เขามีไหม เราจะมานั่งไล่ปัจจัยแห่งความสำเร็จกัน วันนี้เหมือนกัน มอง ULife วันแรกที่เฮียได้ ULifeมา ระหว่างที่ CFO กำลังคุยกันอยู่ เฮียยังไม่ได้ เฮียเริ่มมองเเล้ว เฮียเอ็กซเรย์มาเลย คนที่อยู่ในอุตสาหกรรมมา คนที่เขาอยู่ได้เขามีอะไร ถ้า ULife อยู่ในมือเฮีย สิ่งที่เขามี ULife มีเเล้ว แต่สิ่งที่วันนี้ ULife ยุคใหม่จะมี เขาไม่มี แล้วมันเเพ้ไม่ได้ ถ้ามันแพ้ก็คือผิดปกติไง มันไม่มีแพ้อยู่เเล้วครับ คือมันต้องสำเร็จนี้คือหัวใจเรา และถ้าผมเชื่ออย่างนี้ และผมทำจริงๆ ผมก็เชื่อว่า BP  (Business Partner) คือหัวใจสำคัญที่จะนำสิ่งที่ผมคิด แล้วก็ให้ทีมเตรียม เรียกว่าเป็นอาวุธ ที่ครบเครื่องก็เเล้วกัน ไปนำชัยความสำเร็จกลับมาสู่องค์กร
 

คุณสุชาดา  : ในอนาคตจะรู้ได้ยังไงว่าเฮียจะไม่ทอดทิ้งธุรกิจนี้ ถ้าผลไม่เป็นไปตามคาด จะทำอย่างไร?
คุณสุรชัย (เฮียฮ้อ)  :  คำถามนี้ ฟังแล้วเหมือนตอบยากนะ แต่ตอบง่ายมากเลย ผมจะตอบอย่างนี้ จริงๆ 1,300 ล้าน ผมเชื่อว่าผมทำได้ ทีนี้ พอ1,300ล้านได้ คือหัวใจผมมันอยู่ที่ปีนี้ ถ้า 1,300ล้านได้ ปีหน้าได้แน่นอน ทีนี้คำถามที่ผู้นำถามว่า แล้วถ้ามันไม่ถึงเป้า เฮียจะทำอย่างไร จริงๆคือ ปีนี้ 1,300ล้าน ปีหน้า มันถึงแน่นอน แต่ถ้าปีนี้มันไม่ถึง ผมจะไปทิ้งทำไม มันก็ยังกำไรอยู่ ดีลนี้ ผมชนะตั้งแต่ซื้อแล้วถ้าหลายๆคนติดตามผม เพราะฉะนั้นเวลามองดีลนี้ คำถาม ถ้าเราจะเลิกเราไม่ได้มองมุมธุรกิจ มุมธุรกิจผมไม่มีแพ้อยู่แล้วผมจะไปทิ้งทำไม ถ้าอธิบายให้ Business Partner เข้าใจละเอียดขึ้นก็คือ ธุรกิจปกติของ ULife  ที่ผ่านมากำไรได้มาประมาณซัก 800 - 900ล้านนะครับ มีกำไรประมาณ 10% อ่ะ 40% คือ 90 ล้าน เราซื้อ ULife 900กว่าล้านเนี่ย ในทางการเงิน เรากำไรไปแล้ว 2,000ล้าน แม้ ULife เข้ามา เท่าเดิมเลย ทำเหมือนที่คุณบุ๋มเคยวางแผน 800 - 900ล้าน ผมก็กำไรอยู่ดี  เพราะฉะนั้น อย่างที่ผมเรียน ผมไม่ได้มอง ULife ในมุมที่ว่า เขาเรียกว่า มุมของกำไร - ขาดทุนในการลงทุน ผมมอง ULife ในความรู้สึกว่า ผมกำลังปลุกปั้นสิ่งที่ผมรักและผมสนใจ เพราะฉะนั้นไม่มีทางทอดทิ้ง อย่างที่สอง มีคนถามผมว่า จะแน่ใจได้อย่างไรว่าเฮียฮ้อจะไม่ขาย ผมอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เอาจริงๆนะ ถ้าไม่ดี ขายไม่ได้ ก็มันขายไม่ดีแล้วใครจะมาซื้อล่ะคืออย่างนี้ เราจะขายต่อเมื่อของมันดี ผมทำให้มันดีขึ้นแล้วจะขาย ซึ่งพอของมันดีแล้วผมจะไปขายทำไม สิ่งที่ผมซื้อมาแล้วผมทำ แล้วมันไม่ถึงเป้าแล้วมันแย่ลง ซึ่งคำถามว่า แล้วเฮียฮ้อจะไม่ขายเหรอ? ผมถามว่าผมขายแล้วใครจะมาซื้อ ผมซื้อรถ BM มา ถ้าอยู่ดีๆมันกลายเป็นสามล้อ ไม่เป็นอย่างที่เฮียคิด เฮียจะไปขายไหม ผมถามว่า ถ้าผมได้ BM มาแล้วกลายเป็นสามล้อ ถ้าผมขายแล้วใครจะมาซื้อสามล้อผม ผมจะขายก็ต่อเมื่อผมทำให้มันดีขึ้น แล้วผมจะขาย เพราะฉะนั้นมันไม่มี......ก่อนนะแต่ความจริงคือ ถ้ามันดีแล้วผมจะขายทำไม เพราะฉะนั้นคำถามนั้น มันไม่มีอยู่จริง เหมือนคำถามแรก ผมเล่าให้ BP ฟัง วันแรกที่มีข่าวรั่วออกไป สายเฮียเนี่ย ไหม้เลย ผมก็ไม่รับสาย รับบางคนจริงๆ ก็บอกไม่ได้ ตอนนั้นมันยังไม่เรียบร้อย แล้วก็เราอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ข้อมูลข่าวสารเป็นเรื่องสำคัญนะครับ ผมก็ไม่ตอบ มีคนสนิทอยู่ 5-6 คน ที่เราไม่รับไม่ได้ เป็นผู้ใหญ่บ้าง เป็น Business คู่หูนักลงทุน เขาก็ถามผมตรงๆหลังไมค์ว่า เฮียฮ้อจะซื้อขายตรงเหรอ? มุมมองคนส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้นจริงๆ ในมุมมองของเขาจะบอก มันดีแล้วยูนิลีเวอร์จะขายเหรอ? ผมบอกว่าถ้ามันไม่ดี ยูนิลีเวอร์จะขาย แล้วใครจะมาซื้อล่ะ มันก็เรื่องเดียวกับที่ผมบอกเมื่อกี๊นะ ใช่ไหม มันต้องดี ถ้ามันไม่ดี เขาขาย...แล้วผมจะไปซื้อเหรอ? เพราะฉะนั้นคำถามที่เมื่่อกี๊ถามผมว่า ถ้าวันนึงผมทำแล้วมันไม่ดี ผมจะขายไหม ผมบอก ถ้าวันนั้นผมอยากขายจริงๆใครจะมาซื้อผม มันไม่มีจริง คำถามนั้นไม่มีอยู่จริง
 

คุณสุชาดา  : เฮียก็พยายามทำขายตรงมาหลายครั้ง
คุณสุรชัย (เฮียฮ้อ)  : อันนี้ชี้แจง ไม่ได้ทำ แหย่ขาไปลองเฉยๆ ครั้งแรกเลยก้ตอนที่เราทำทรานฟอร์ม มาทำอีคอมเมิร์ต นะครับ ผมทำอีคอมเมิร์ตปีแรก แอบทำ นะครับ ตอนทำอีคอมเมิร์ตเนี่ย เหมือนกันเลย โฮมช๊อปปิ้ง ห้ามพูด คำว่าโฮมช๊อปปิ้ง โอโห มันคือธุรกิจที่ โบราณนะครับ เก่า และเป็นที่รังเกียจของคนดู แล้วก็ช่องทีวี ถ้าพวกเรามองอดีตจะจำได้ว่า โฮมช๊อปปิ้งเมื่อก่อนจะอยู่ตอนหลังเที่ยงคืน เพราะทีวีก็รังเกียจแต่อยากได้เงินเขา ขายเวลาให้เขา แต่ก็รังเกียจเขา ก็ผลักเขาไปอยู่หลังเที่ยงคืน ส่วนคนดูก็ถือว่านี่เป็นตัว Disrupt หน้าจอ ก็จะเป็นเรื่องเดียวกัน ทีนี้เราทำปีที่ 1 เราก็แอบทำ ไม่บอกว่าเป็นโฮมช๊อปปิ้ง มียอดขาย 200กว่าล้าน ปีที่ 2 ก็200กว่าล้าน ปีที่ 3 1,400ล้าน ก้าวกระโดด เราถึงประกาศว่าเป็นโฮมช๊อปปิ้ง แต่จริงๆเราเรียกว่าใหม่ว่าเป็น...ตอนนั้นเราเรียกว่า MPC นะครับ มัลติแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ท พอปีที่ 3 พอเราประสบความสำเร็จตรงนั้น ไอ้ความสนใจที่มันซ่อนอยู่ในใจเฮียเนี่ย ที่ผมยืนยันว่าผมเนี่ย สนใจ ขายตรง มันอยู่ในใจไม่เคยเลิกไง ก็มีอยู่ปีนึง ก็ลองเอาสื่อทีวีนั่นแหละ ลองดูสิว่าชวนคนมาแล้วก็ ให้เขาขายของให้เรานะ ตอนนั้นเราคิดคือเราทำขายตรงชั้นเดียวก่อน คือสื่อมันมีพลังจริงๆนะครับ เราเรียกคนได้มาเป็นหมื่นๆคนเลย แต่สุดท้ายเนี่ย ก็ต้องบอกว่ากระบวนการหรือความพร้อมของเรา เราไม่มี หมายถึง ทีมงาน ทีมโค้ชชิ่ง เพราะฉะนั้น ก็ไม่ได้เริ่ม ก็เลิกไป เราไม่ได้ทำอะไรเลย ก็มาอีกทีหนึ่งก็ประมาณสักช่วงปีที่แล้วนะครับ ช่วงที่โควิดรุนแรง ทีมงานเขาก้มีไอเดียบอก เฮียลองออกทีวีให้หน่อยได้ไหม เราไปชวนว่าเหมือนคนกำลังลำบาก ตกงาน เราก็เหมือน เปิดโอกาสให้คนมาทำการค้ากับเราจริงๆก็คือการชวนคนมาทำ ให้โอกาสเขาทำขายตรงชั้นเดียวกับเรา แล้วเราก็ออกทุนให้ทุกอย่าง ก็เป็นการช่วยเหลือประชาชนด้วยในช่วงที่ยากลำบาก แล้วก็ถ้ามีโอกาสก็จะเหมือนกับลองทำขายตรงชั้นเดียวด้วย แต่มันก็เหมือนเดิม เพราะว่า คืออย่างที่คุณบุ๋มบอกไง เรามีจุดแข็งส่วนนึง แต่เรายังทำไม่ได้ คือการที่ RS เฮียได้ULife มา มันเหมือนเฮียได้มือซ้ายกับมือขวามาพอดี เราเคยมีมือซ้ายอย่างเดียวไง ขาดมือขวาไงครับ ตอนนี้มันก็ครบไง เพราะฉะนั้น อันนี้เคลียร์ว่า ผมยังไม่เคยทำขายตรงมาก่อน ไม่เคยเลย แต่ความสนใจไม่เคยขาดไปจากตัวเฮีย
 

คุณสุชาดา  :  ขอให้เฮียช่วยเล่าให้หน่อยค่ะว่าคุณสมบัติของผู้นำยุคใหม่สัก 3 ข้อ ที่ BP จะเอาไปใช้ค่ะ ต้องมีคุณสมบัติอะไรค่ะในยุคนี้
คุณสุรชัย (เฮียฮ้อ)  :  ถ้าใน Ulife นะครับ อย่างแรกผมคิดว่า ต้องมีความกล้า กล้าที่จะเรียนรู้ กล้าที่จะคิดสิ่งใหม่ๆ อย่าอยู่กับสิ่งเดิมๆ อย่าอยู่กับความสำเร็จเดิมๆ พอเราฝึกเรื่อยๆ มันก็จะกลายเป็นนิสัยเรา แล้วเราจะเห็นสิ่งใหม่ๆ ที่เราไม่คุ้นเคยและไม่รู้จัก แล้วเราก็จะไม่กลัวมัน  กล้าลองนะครับ    ยิ่งถ้าอยู่กับยุคใหม่ ผมเชื่อว่าทุกคนเป็นผู้นำได้ดีแน่นอน  เพราะว่าคุณไม่ต้องกลัวเลย  คุณกล้าไปเลยเพราะว่าคุณมีฟูกรองรับอยู่ข้างหลังน่ะครับ เฮียจะเป็นฟูกให้ทุกคนน่ะครับ อันที่สอง คืออย่างนี้ ทำงานแบบมี Passion  Passion นี้สำคัญมาก ผมคิดว่า Passion นี้มาก่อนเรื่องความสามารถ  คือ เรื่องความสามารถก็สำคัญน่ะครับ  Skill ความรู้ต่างๆ ก็สำคัญ  แต่ Passion สำคัญที่สุดน่ะครับ บางทีประสบการณ์หนึ่ง เฮียก็เจอคนมาเยอะ เจอทีมบริหารก็เยอะคนเก่งๆ เยอะแยะที่ประสบความล้มเหลว  เพราะเขาไม่มี Passion  เจอนิดหน่อยก็ไม่เอาแล้ว ไม่ไหวแล้ว มันเลยทำให้ความสามารถ หรือประสบการณ์ต่างๆ ที่เขามีดีเลยไม่ได้ใช้  เพราะงั้นถึงว่า Passion สำคัญ  Passion จะยังสำคัญกว่าความสามารถ  เพระถ้าเรามี Passion เราจะไปหาเละไปเรียนรู้ ไปขวนขวาย สิ่งที่เราไม่ได้รู้  ซึ่งตัวเฮียเองน่ะหลายๆ อย่างก็เป็นแบบนั้น ธุรกิจขายตรงที่มี Passion  น่ะ เอาจริงๆ ความรู้เฮีย สู้กับทีมคุณปุ๋มกับทีมไม่ได้หรอก แต่ Passionเนี่ยมาก ทีนี้การมี Passion สำคัญ Passion เนี่ยไม่ใช่เรื่องของความมุ่งมั่นอย่างเดียว มันเป็นมากกว่านั้น Passion เราทำกับความหลงไหล รัก ทุ่มเท ทีนี้เวลามันทำมันจะปัญหาใหญ่ มันก็จะกลายเป็นปัญหาเล็ก ปัญหาเล็กมันก็จะกลายไม่มีปัญหาน่ะครับ แล้วทุกอย่างมันจะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ตัว Passion ยังอยู่ อุปสรรคมาเดี๋ยวก็แก้ได้  ไม่รู้เราก็เข้าไปเรียนรู้ได้   อันนี้สิ่งใหม่เราไม่เคยเจอ เราก็ไปค้นคว้าก็กลับมาแก้ไขได้ กล้าคิด กล้าลอง กล้าทำ 2 คือ Passion 3 คือ Goal คนที่ RS หนึ่งในนั้นคือในเรื่องของ Goal  คุณต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนนะครับ การมีเป้าหมายที่ชัดเจนสำคัญมาก  มันจะทำให้เราชัดเจน ว่าเราทำไปสู่จุดหมายเรื่องอะไร  ไม่เสียแรงเปล่า ไม่สะเปะสะปะ  3 อย่างนี้ก็เพียงพอนะครับ