เฮียฮ้อเห็นอะไร...ในธุรกิจ ULife ?

คุณวรวิทย์  : เห็นอะไรในธุรกิจ ULife ถึงซื้อธุรกิจนี้ครับ?
คุณสุรชัย (เฮียฮ้อ)  : จริงๆก็ต้องบอกว่า โดยส่วนตัวผมคือผมเป็นคนที่ เวลาทำธุรกิจ เฮียมองหาโอกาสตลอดเวลานะครับ
แล้วก็สนใจ ติดตามธุรกิจต่างๆ แม้ธุรกิจนั้นจะไม่ใช่ธุรกิจที่เราทำอยู่ เพราะฉะนั้นหนึ่งในธุรกิจที่สนใจ ถ้าจำไม่ผิดประมาณปี 1990 เฮียสนใจธุรกิจ MLM ขายตรงมาก จริงๆเราไม่รู้หรอกว่า ยุคนั้นเป็นยุคที่เท่าไหร่แล้วของธุรกิจขายตรง ส่วนตัวเรามันกำลังเฟื่องฟูมาก ล้วก็น่าสนใจ ก็ไปหาหนังสือมาอ่าน ชื่นชอบ เราก็ติดตาม ก็เรียนรู้ศึกษา ก็ตามมาตลอด ระหว่างนั้นเราก็ทำธุรกิจอื่นมาเรื่อยๆ มีสักช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเนี่ย ที่เราก็เริ่มไม่ค่อยสนใจ เพราะว่าส่วนตัวรู้สึกว่าอุตสาหกรรมมันเริ่มนิ่งๆ ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ กำลังอยู่แบบปล่อยไปตามสภาพ ช่วงสัก 10 ปีที่ผ่านมาก็ค่อนข้างห่างนะครับ ไม่ค่อยได้ติดตาม แต่จริงๆความสนใจก็มีอยู่ตลอดเวลา อันนี้ก็เป็นทุน พอ RS เองวันนี้ เราทำธุรกิจมาถึงจุดที่ Entertainmerce ถ้าหลายๆคนติดตาม RS จะเห็นว่า Entertainmerce เนี่ย ในโครงสร้างบริษัท RS เรามีทั้งธุรกิจบันเทิงและมีเดีย บันเทิงก็คือ ธุรกิจเพลง ซึ่งธุรกิจเพลง ถ้าพูดไป คนอาจจะมองว่า ศิลปินเป็นใคร อันนั้นไม่ใช่แล้ว อันนั้นคือการมองธุรกิจเพลงแบบ นิยามเก่าๆ ธุรกิจเพลงยุคใหม่ ไม่จำเป็นต้องมีศิลปินเยอะ เพราะศิลปินเดี๋ยวนี้เขาก็ไม่ต้องเข้าค่ายเพลง แต่ธุรกิจเพลงยุคใหม่ของผมคือ เรามีฐานลูกค้า ที่ RS สร้างมา ตลอด30-40 ปี ซึ่งเราก็ยังทำเพลงอยู่นะครับ แล้วก็ลูกค้าเดิมๆที่ตามเรามาบน... เราเรียกเป็น Database เกือบๆ40ล้าน อันนี้เราก็ยังใช้อยู่ ธุรกิจสื่อก็มีธุรกิจ COOL fahrenheit ธุรกิจทีวีก็ช่อง 8 บริษัท โฟร์ท แอปเปิ้ล ซึ่งพึ่งดึงมาร่วมงานประมาณปีกว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญทำเรื่องเกี่ยวกับ Online Marketing นะครับ
ปัจจุบันหลายท่านทราบดี โฟร์ท แอปเปิ้ล คือบริษัทที่เฮียให้ทำเรื่องของ Pop coin และก็ โฟร์ท แอปเปิ้ล ก็ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ทำเรื่องคอนเทนต์ของพวก K-Pop ศิลปินเกาหลี อีเวนต์เกาหลีต่างๆ อันนี้ก็คือพาร์ทของธุรกิจเอนเตอร์เทนและมีเดีย Commerce ก็อย่างที่ทราบว่ามี RS Mall ที่ทำตัวเหมือนช่องทางละกัน ทั้งหน้าจอ ทั้งTelemarketing, Telesales ทั้งOnline มีApplication และก็มี LIFESTAR*** LIFESTAR เป็น Product Company นอกจากนี้เราก็ยังมีบริษัท เราเรียกว่าบริษัทร่วมที่เราพึ่งจะ Join ด้วย อย่างเชฎฐ์ นะครับ เชฎฐ์ เป็นบริษัทที่บริหารหนี้ เราเรียกว่า AMC หลายๆคนฟังอาจจะ เอ้..RS อยู่ดีๆเฮียฮ้อไปยุ่งกับธุรกิจนี้ เกี่ยวข้องอะไรกับ Entertainmerce เหรอ? เอาจริงๆผมมอง 2 มิติ มิติ 1 คือธุรกิจนี้ เข้าไปลงทุนเพราะมันเป็นอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ จะเป็นเครื่องมือในการติดตาม และก็อำนวยความสะดวกให้กับลูกหนี้ เพราะฉะนั้น ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่โต และไม่มีโดน Disrupt แน่ แต่ประเด็นสำคัญคืออย่างนี้ เชื่อว่านอกจากการลงทุนที่คุ้มค่าแล้วเนี่ย เชฎฐ์มี Database คอมเมิร์ตเราก็มี Database  ที่นี้การมี Database ทั้งองคาพยพของ RS เนี่ย เรื่องของ Entertainmerce มันกำลังต่อจิ๊กซอลนะครับ เพื่อ synergy พอในวันที่โอกาสของ ULife เดินมา มาถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมนะครับ ก็ไม่ได้ตั้งหลักเลย ไม่เคยคิดมาก่อนเลยนะครับ ว่ามีการมานำเสนอว่าทาง ยูนิลีเวอร์ อยากจะขายธุรกิจนี้ ผมก็คุยกับเซลล์ใช้เวลา 15 นาที จริงๆดูปุ๊ปผมก็เอาแล้ว ที่ 15 นาที่เพราะให้ CFO ตอบคำถามสำคัญๆ ประมาณสัก 2-3 คำถามพอผมดูรายละเอียด 3-4 คำถามนี้ปุ๊ป ผมก็...เอามาให้ได้ เพราะว่าเราคิดว่า ULife เมื่อมันอยู่ใน Ecosystem ของ RS อยู่ในโมเดลของ Entertainmerce อยู่ในมือของเฮีย มันจะเป็น MLM มันจะเป็นขายตรงยุคใหม่ที่หลายคนอาจจะไม่รู้จัก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ผมเองก็ยังไม่รู้จะเป็นยังไง แต่มันไม่เหมือนเดิมแน่นอน อันนี้เรื่องที่หนึ่ง เรื่องที่สองที่สำคัญ คือคนทำธุรกิจนะ เราเคยได้ยินคำว่า โอกาสที่ดีที่สุดและโอกาสทอง ส่วนใหญ่จะมากับวิกฤต วิกฤต เวลาคนตั้งหลักไม่ได้ เจอแต่วิกฤต แต่คนหารู้ไม่ว่า โอกาสที่ดีที่สุด มากับวิกฤตทั้งนั้น แล้ว RS เอง ถ้าลองมองย้อนไป เฮียโตและก้าวกระโดดทุกครั้งที่มีวิกฤต ในช่วง 2 ปีนี้ ก็เป็น 2 ปีที่ ทุกคนลำบากกัน ก็เจอโควิดกัน คือเราก็ได้ผลกระทบจากโควิดนะครับ ผมต้องใช้โอกาสในการหาวิกฤต เพราะว่ามันเป็นโอกาสทองที่เราจะหาธุรกิจใหม่ๆที่กำลังต้องการพาร์ทเนอร์ที่แข็งแรง นั้นเรื่องที่หนึ่ง ประเด็นที่สอง คือ ขายตรง คือขายตรงมุมเฮียเนี่ย เฮียมองอุตสาหกรรมนี้ กำลังเดินเข้าสู่วิกฤต บางบริษัท โดน Disrupt แล้ว บางบริษัท เขาอาจจะยังใหญ่อยู่ เขาอาจจะค่อยๆรู้สึก มันเหมือนปลาแหละครับ ปลาในน้ำ เวลาน้ำมันร้อนขึ้นเรื่อยๆเนี่ย มันจะมีปลาบางตัว รู้สึกก่อนแล้วตายก่อน ปลาที่แข็งแรง จะรู้สึกทีหลัง แต่ก็จะรู้สึกว่า น้ำมันกำลังเปลี่ยนไง เพราะฉะนั้น ผมกำลังมองว่า นี่กำลังเป็นช่วง Disrupt ของธุรกิจขายตรง แล้วมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ส่วนตัวมองว่า ถ้าไม่ทำอะไร ธุรกิจนี้ อยู่ลำบาก จากนี้ไป 3 ปี พอ ULife มันเดินมาหาผมเนี่ย ผมบอกว่านี้มันเป็นจังหวะที่ ถูกคน ถูกที่ ถูกเวลา อันนี้มุมมองเฮีย นะครับ
 
คุณวรวิทย์  :  พอเฮียเห็นและเฮียสนใจเเล้ว พอเป็น ULife ก็ตัดสินใจเข้ามาเป็นพาร์ทหนึ่งของ RS Group เเล้วอะไรคือ Passion ตรงนั้นนะครับที่จะต่อยอด ULife ภายใต้ RS Group นะครับเฮีย Passion ของเฮียตรงนั้นคืออะไรบ้าง
คุณสุรชัย (เฮียฮ้อ)  : อย่างเเรกเป็นธุรกิจที่ผมชอบ คนเราเวลาทำธุรกิจ คนจะบอกว่าทำในสิ่งที่ตัวเองรัก คนทั่วไปจะพูดแบบนั้น ซึ่งผมไม่เคยคิดเเบบนั้น เพราะว่าบางที่เราทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ก็สิ่งนั้นมันไม่ใช่ มันไม่ควรทำ เฮียจึงคิดว่าต้องทำสิ่งที่ควรทำก่อน ธุรกิจ เเต่ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เรารักด้วย โอ้โห้มันจะยิ่งดีใหญ่เลยนะครับ เวลาทำธุรกิจ ทุกๆธุรกิจที่ผมทำ ผมเริ่มต้นด้วยสิ่งที่ผมควรทำก่อน แล้วถ้ามันคือสิ่งที่เรารักด้วย มันยิ่งมี Passion แต่ถ้าเรารัก แต่มันไม่ควรทำผมเลิก เพราะงั้นอย่างธุรกิจ ULife อย่างแรกเลยมันคือ เป็นธุรกิจที่ผมอยากทำ เป็นธุรกิจที่ควรทำ ควรทำคือ เมื่อมันอยู่กับผม อยู่กับ Business Model ของ Entertainmerce เรารู้ ว่าเราจะต้องต่อจิ๊กซอล ผมจะต่อแขนต่อขา ULife อย่างไร คือต้องเรียนอย่างนี้ วันที่ได้ULife มา ระหว่างทางนะครับ CFO มีหน้าที่ไปดิล เฮียเอาข้อมูลบางอย่างที่เฮียต้องการมา คือเฮียสนใจสองสามเรื่อง จุดเเข็งของULife คืออะไร เฮียเเยกให้ออกเเล้ว ที่เหลือนี้คือจุดอ่อนหมด แล้วเฮียก็เห็นจุดเเข็งเเล้ว มันต้องเเยกก่อน ตอนที่ได้คุยกับคุณปุ๋มหลังๆ ช่วงที่เริ่มชัดเจนเเล้ว  ผมก็บอกว่า คนส่วนใหญ่ของ ULife จะเข้าใจทุกอย่างคือเเข็งหมดไง เเต่ผมคือมาจากข้างนอกจะมองอีกเเบบหนึ่ง ผมก็สังเกตว่า ULife มีจุดเเข็ง พอเราเจอจุดเเข็ง เราก็หาจุดอ่อนให้เจอ จุดอ่อนนั้นมันมี 2 มิติ จุดอ่อนของอุตสาหกรรมนั้นหมายความว่าทุกคนก็มีจุดอ่อนหมด กับจุดอ่อนของตัวเราเอง เพราะฉะนั้นก็เอาจุดเเข็งมาก่อน เสร็จเเล้วก็มาต่อเเขนต่อขา เติมอาวุธ ซึ่งผมก็คิดว่าอาวุธที่เรามีกันอย่างแรกเป็นที่ประสบการณ์เฮีย กลยุทธ์ มิติการวางมาเก็ตติ้ง มิติของการกำหนดธุรกิจ อันนั้นเรื่องที่หนึ่ง ซึ่งผมเป็นคนทำงานเร็ว ผมเป็นคนทำงานไม่มีกรอบ เรื่องที่หนึ่ง อันที่สองผมเป็นคนมีอาวุธเยอะ วันนี้ ULife มาอยู่ในEco-system ของ  Entertainmerce คุณจะเอาอะไรครับ ทีวีผมก็มี วิทยุผมก็มี เพลงผมก็มี อีเว้นต์ผมถ้าในช่วงปกติ วันๆอีเว้นต์ผมออกทั่วประเทศ ใช่ไหมครับ เราก็เดินสายปกติ เพราะสิ่งต่างๆเหล่านี้ เเม้กระทั่ง Pop Coin เป็นอาวุธที่มาเสริมให้ ULife เป็นธุรกิจขายตรงยุคใหม่  ซึ่งเรายังไม่มีคำนิยาม เพราะว่าตอนนี้อยู่ในช่วงของการทำงานร่วมของการRebranding นะครับ
 

คุณวรวิทย์  :  เชิงของการวางแผนนะครับ การที่เราจะย้ายบ้านไป RS Group พฤษภาคมนี้ เฮียก็มาภาพชัดเลยว่า แบบ ULife ต้องวางกลยุทธ์ ต้องมีเป้าหมายนะ แล้วเป้าหมายต้องชัดที่ 1,300ล้าน เฮียมองยังไงครับและสำคัญยังไง เป้าหมายปีนี้ของเรากับ 1,300 ล้าน
คุณสุรชัย (เฮียฮ้อ)  : จริงๆอย่างนี้นะ เป้าหมายจริงๆเกิดจากเฮียก่อน ก่อนที่จะคุยกับคุณปุ๋ม กับทีมบริหารนะ คือเฮียก็บอกว่า เป้าหมายประมาณนี้นะ แล้วผมก็มีที่มาว่าทำไมถึงต้องวางแค่ 3 ปี จริงๆก็ 2 ปี 8 เดือนนะครับ ผมบอกปี 67 เราต้องมียอดขายประมาณ 3,500 ล้าน ปี 66 ต้อง 2,500 ล้าน ปีนี้ 8 เดือน 1,300 ล้าน นี้คือเป้า ลืมเรื่องทุกอย่างที่เราเคยทำมา มาทำงานจากสิ่งที่เราเคยเป็นแล้วต่อยอดขึ้นไป ผมบอกไม่เอา เราทำเอาจากเป้าดีกว่า เอาเป้าเป็นตัวตั้ง แล้วค่อยกลับมานั่งวางแผนว่าจะไปถึงเป้าได้ยังไง
ทีนี้คำถามคือ เป้ามายังไง คือผมมองอย่างนี้ ผมมองว่า ข้อแรก อุตสาหกรรมนี้กำลังโดน Disrupt คนที่จะอยู่รอด ในระยะสั้นนะ จะเหลือแค่รายเล็กกับรายใหญ่ รายเล็ก หมายถึงพวกมาแล้วก็ไป อยู่ไม่ยั่งยืน มาเอาผลตอบแทนเยอะๆ ทำกันแปปนึง พอตลาดวายก็ปิดร้าน ก็ไปแหละ ไปเปลี่ยนหน้าใหม่ เปลี่ยนชื่อใหม่ กลับมาใหม่ เราก็เห็นอยู่ พวกนี้ก็คือ พวกนี้จะอยู่ได้ในช่วงแรก
จะยังอยู่ได้ เรียกว่ากองโจร ก็พวกนี้แหละที่ทำให้ อุตสาหกรรมขายตรงเสียเครดิตและต้องยอมรับว่าจุดอ่อนอย่างนึงของอุตสาหกรรมขายตรงคือ ภาพลักษณ์ที่ไม่ค่อยดี อันนั้นไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจะจัดการแก้ไข หลายมีปีนี้มีรายเล็กอย่างที่ผมบอก ก็ยังอยู่ได้อยู่แต่ไม่ยั่งยืน แล้วก็จะมีรายใหญ่ๆ ที่ยังอยู่ได้ อยู่แบบไหนล่ะรายใหญ่ รายใหญ่ เขาเป็นเบอร์ 1 เบอร์ 2 เบอร์ 3 เขาไม่โตหรือเขาลดลงนิดนึง แต่เขายังเป็นเบอร์ 1 อยู่ สมมุติเขาเคยขายได้ 5-6พันล้าน ปีนี้เขาเหลือ 5,500ล้าน เขาก็ยังเป็นเบอร์ 1 เขายังสบายใจ คือพวกนี้เรียกว่า ค่อยๆเปลี่ยน สถานการณ์ค่อยๆมา เหมือนน้ำค่อยๆอุ่นขึ้นเรื่อยๆ เขายังทนไหวอยู่ รอการ Disrupt มาหาตัวเอง เพราะฉะนั้นเราก็มอง จริงๆเป้าเฮียในหัวมี 5 ปี ตอน RS ผมก็ใช้วิธีนี้ ตอนที่ผมจะทรานฟอร์ม RS ทีมทำงาน หนึ่งพันคนนะ จะให้คนหนึ่งพันคน เปลี่ยนจากบันเทิงและมีเดียทั้งชีวิตไปทำ อีคอมเมิร์ท อย่าเอาเป้าไกลเกินไปให้คนทำงานเห็น ผมพูดแค่ปีเดียว เพราะว่าเราก็ต้องเข้าใจคนทำงานว่า เวลาที่เปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงแบบหักศอกเลยจากซ้ายไปขวาเนี่ย
ถ้าไกลเกินไป เขาไม่มีความหวังและกลัว อ่า...อย่างนี้ ผมก็จะเอาสั้นๆ ผมบอกปีนี้เป็นอย่างนี้ ปีหน้าพวกคุณดี โบนัสดีแน่ แต่ถ้าไม่ทำอะไร ปีนี้ลำบาก ปีหน้าอาจจะมีตกงานหรือเลย์ออฟนะ ก็บอกตรงๆอย่างนั้น คือ ต้องให้เห็นความจริง อย่าโกหก เพราะว่าอะไรครับ ระหว่างที่เฮียกำลังพูดอยู่ เพื่อนเขาทำงานบริษัทอื่น  เขายังสบายกันอยู่นี่หว่า อย่างเนี่ย เราว่า จริงเหรอ เฮียพูดอย่างนี้ เราทำอยู่ทีวีช่อง 8 เราพึ่งประมูลมาได้ ทีวีช่องอื่นเขาคึกคักมากเลยเฮีย ทำไมเฮียมาพูดให้พวกเราฟังอย่างนี้ พอเราทำแปปนึงเขาก็รู้แล้ว โอโห้จริงๆทีวีทุกช่องขาดทุนมโหฬารเผาเงินกันเป็นว่าเล่น แต่ช่อง 8 รับโบนัส ปีที่ 2 ก็รับโบนัสอีก แล้วก็กำไร
เขาก็เห็นว่า เออ...ใช่ เพราะฉะนั้นกลับมาที่ ULife เป้าหมายเฮียวางไว้มี 5 ปี แต่ผมมองเป็น 3 ปี ในระดับผู้บริหาร แต่ในเชิงคนทำงาน ปีเดียว เป็น 1,300 ล้าน  พวกเราไม่ว่าจะเป็นผู้นำ BP ทุกระดับ มอง1,300ล้าน ช่วยกันทำ 1,300ล้าน คุณทำ 1,300ล้านได้ในปี65 ปี66 2,500ล้าน มันได้อัตโนมัติ ปี 67 เราจะได้ 3,500ล้าน อันนี้เป็นทฤษฏีที่ผมคำนวนมาแล้วนะครับ แล้วอีกอย่างหนึ่งคือ 1,300ล้าน ในเชิงการวางโปรเจคชั่นของเฮีย ผมไม่ได้วาง 1,300 ล้าน หารเดือน ผมวางเป็นการค่อยๆไต่ซึ่งเราคำนวนมาแล้ว สมมุติเดือนพฤษภาคมเราต้องทำประมาณ 150 ล้าน ถ้าเราจะเอา 1,300 ล้าน เดือนธันวาคม เราต้องตกประมาณ 200 – 250 ล้าน ถ้าเราทำได้ครบ ลองนึกภาพซิครับ พอปี 66 เรานับต่อจากนี้เดือนธันวาคม ปี65 ถ้าเราได้ 250 ล้าน มกราคม เราก็จะต่อเรื่อยๆ มันจะโตเยอะเลยคุณได้ 2,500ล้านแน่นอน แล้วปี 66  2,500ล้าน มันจะง่ายมาก เพราะว่าโครงสร้างต่างๆที่เราวางไว้  หลายๆอย่างมันจะไปออกผล ส่งผลในปีนั้น เพราะว่าบางอย่างมันใช้เวลา แต่การทำงานหลายๆอย่างมันจะไปตอบโจทย์ปีหน้า เรื่องที่หนึ่ง  เรื่องที่สอง BP ก็ตั้งแต่ระดับผู้นำไปถึง BP เอง ถึงการ Coaching  Training สร้าง BP ใหม่ หลายๆคนก็อาจจะสร้างแล้วแต่ไปออกดอกผลหรือเก่งในปีหน้า ฉะนั้นคือเฮียมองว่า พันธกิจ 1,300 ล้าน ถ้าคุณชนะ 1,300 ล้าน คุณได้ 3,500 ล้าน โดยอัตโนมัติ
 
คุณสุรชัย (เฮียฮ้อ) :  ผมเพิ่มเติมนิดหนึ่งคืออย่างนี้ ถึงอาจจะพูดตกหล่นไปนิดหนึ่ง ผมบอกว่ารายใหญ่อยู่ได้กับรายเล็ก รายกลางจะตายก่อน จะไม่มีที่ยืน นี้คือมุมมองเฮีย เฮียถึงตั้งเป้า ULife เพราะ ULife เอาจริงๆคือรายกลาง ก่อนที่จะมาอยู่กัยเฮียเนี้ย เฮียมองว่าULife เนี้ยอยู่ประมาณไซด์กลางๆ ที่เนี้ยถ้า ULife จะอยู่ได้เเข็งเเรงภายใน 3 ปี จะต้องเป็น 3,500 ร้อยล้านนะครับ ปีหน้า 2,500 ร้อยล้าน จริงๆปีนี้ 1,300 ร้อยล้านเนี้ย ปีหน้าเนี้ยเราจะกลายเป็นยักษ์ทันที 2,500 ร้อยล้านเนี้ยเราใหญ่แล้ว เพราะเมื่อไหร่ 2,500 ร้อยล้านมันคือ 3,500 ร้อยล้านรออยู่แล้ว ถึงเวลานั้น ถึงปี 67 ผมบอกพวกเราตรงนี้เลยนะครับ เราไม่รู้หรอกว่าเราอยู่ท๊อปไหน เราอาจจะเป็นกลาย Number 1 ก็ได้ ผมกำลังจะยืนยันว่าเรากำลังจะกลายเป็นท๊อปขายตรงยุคใหม่ที่ เหมือนกับเราปรับตัวแล้ว คนอื่นอาจจะยังใหญ่เเต่ปรับตัวช้า แล้วจะค่อยๆเล็กมาหาเรา แล้วถึงตรงนั้นนะ  คือDistrup ผมผ่านมาเยอะ ผมจะเห็นว่า เหมือนเรือละครับ เรือลำใหญ่ๆ เวลามันจม จมช้ากว่าคนอื่น เพราะลำมันใหญ่ แต่เมื่อไหร่พอมันถึงครึ่งลำปุ๊ป มันทิ่มลงเลยทันทีเลย เพราะฉะนั้นเรือลำใหญ่ช่วงเเรกๆมันช้า พอถึงจุดปุ๊ปมันจะลงเร็วมากเลย มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้น ปี67 เป้าหมายเฮีย ก็สำเร็จละ ผมได้มองเเต่ตัวเลข 3,500 ร้อยล้าน เรามองตัวULife ที่เป็น Business Model ขายตรงยุคใหม่ที่มัน เราจะเรียกว่า มันไม่เหมือน ไม่มีใครเหมือน ไม่เหมือนใคร เเล้วจริงๆบางเรื่องผมก็ยังไม่ได้ผมคิดอะไรไว้ เอาจริงๆคือบอกบางอย่าง เราบอกคนอื่นตามเราไม่ได้ ผมพูดเลยผมจะใช้ Popcoin คนอื่นมาตาปริบๆ ผมบอกULife  ผมจะมีทีวี จะมีวิทยุ ผมจะมีออนไลน์ ผมพูดได้เลย ใครจะเอาก็ต้องไปซื้อ ของผมไม่ต้องซื้อ ราคาพิเศษ อะไรแบบนี้ เพราะฉะนั้นเรื่องพวกนี้เราพูดได้ แต่เรื่องบางอย่างเนี้ยเก็บไว้ก่อนยังไม่ถึงเวลา บอกก็ไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นจริงๆยอดขาย 3,500 ร้อยล้าน มันเป็นนัยยะเชิงตัวเลข สำคัญกว่ามันคือ Model และการ Business Model ของ ULife ในนิยามที่เราบอกว่า ขายตรงยุคใหม่มันจะเป็นไหน อันนี้มันสำคัญ

 

คุณวรวิทย์  :  ความตั้งใจเฮียที่จะสนับสนุนให้ธุรกิจ ULife มีภาพลักษณ์ที่อยากจะทำให้เปลี่ยนภาพลักษณ์ของขายตรงที่คนไม่ชอบ คนไม่เอาอันนี้ก็เป็นหนึ่ง Passion ที่เฮียมีตรงนี้มากๆ คือขยายตรงนี้หน่อยครับ
คุณสุรชัย (เฮียฮ้อ)  :  คือเราต้องยอมรับว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ในวันนี้ สิ่งแรกที่ผมทำคือ ผมทำเรื่องรีแบรนด์คู่ขนานเลย แล้วการทำรีแบรนด์ของผม ผมจะไม่ถามว่า ULife แข็งตรงไหน ผมไปวิเคราะห์อย่างเดียวว่า อุตสาหกรรมนี้ มองลบแบบไหนบ้าง แล้วคนมอง ULife ด้านไม่ดีเป็นยังไง สิ่งหนึ่งที่เราเห็นคือ มันเป็นธุรกิจที่คนมองไม่ค่อยดีมานานแล้ว หมายถึงผู้เล่นในตลาดที่ผ่านมา มันก็ปล่อยไปตามมีตามเกิด มันก็เป็นอย่างนี้ ฝังอยู่ใน โปรเทคชั่น ของคนทั่วไป อันนั้นเรื่องที่หนึ่ง เรื่องที่สอง มันโดน Disrupt เรื่องของวันนี้ โดยเฉพาะในช่วง 4-5ปี หรือ 8-10 ปีที่ผ่านมา พอไลฟ์สไตล์มันเปลี่ยน โซเชี่ยลมันเข้ามาเกิด เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เราจะเห็นได้เลยว่าเดี๋ยวนี้ทางเลือกของคนที่จะเข้ามาธุรกิจขายตรง  มันมีทางเลือกอื่นง่ายกว่าเยอะเลย ชอยล์เยอะ ชอยล์เยอะมากเลย อยากจะได้เงิน 2-3หมื่นเนี่ย แกรปก็ได้แล้ว อยากจะทำ 3-4หมื่นไปเป้นแม่ค้าออนไลน์ก็ได้แล้ว ไปนี่นั่นได้หมดเลย ทั้งนี้จากที่ทางเลือกก็ง่ายแล้ว ที่สำคัญคือหนีจากสิ่งที่ตัวเองไม่ค่อยชอบภาพลักษณ์อยู่แล้ว หรือภาพลักษณ์ไม่ดีอยู่แล้วก็ไม่สนใจ มันเหมือนกับเราโดน Disrupt ทุกๆมิติเลย เพราะฉะนั้นสิ่งนี้ เราก็ต้องให้ความสำคัญ ระหว่างทำธุรกิจมาสิ่งที่ต้องทำคือ ต้องปรับภาพลักษณ์ รีแบรนด์ แล้วก็การรีแบรนด์ไม่ใช่โลโก้ การรีแบรนด์ที่ถูกต้องไม่ใช่การออกโลโก้ใหม่ เราทำไปถึงรากเลย คือว่า Purpose ของ ULife อยู่เพื่ออะไร ไม่ใช่อยู่เพื่อทำกำไร ไม่ใช่ มันไม่มีประโยชน์กับคนอื่น คนเข้าเห็นว่า ULife อยู่แล้วชีวิตฉันมีอะไรหรอ มันตอบอะไรฉันเหรอ ULife เราดี เราต้องตอบได้ด้วยว่า โอเค ธุรกิจต้องแข็งแรงและมีกำไร คนที่มาร่วมกับ Ulife ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจ พาร์ทเนอร์ หรือแม้กระทั่งลูกค้าเรา ทุกคนมาอยู่กับ ULife แล้วต้องรู้สึกดี ทุกความหมาย การเป็น Business Partner ULife มีหน้าที่ทำให้ทุกคนเติบโตและแข็งแรง แล้วที่สำคัญ ต้องมั่นคง สิ่งนึงที่คุณบุ๋มบอกผมว่า ส่วนใหญ่...คือผมถามข้อมูลของ BP เป็นยังไง คุณบุ๋มบอก BP ทำส่วนหนึ่ง พาร์ททามทำส่วนใหญ่ อันนั้นไม่ต้องโทษเขา ต้องโทษเรา ผมจะทำให้ต่อไป ใครมาอยู่ ULife แล้วเนี่ย เขาจะเห็นเองว่า... เออ..จริงๆแล้ว การที่เขาไม่มาเป็นฟูลทาร์ม เราทำให้เขามาเป็นฟูลทาร์มได้ ถ้าเขารู้สึกว่า ธุรกิจนี้  มั่นคง รายได้ดี มีศักดิ์ศรี ไปไหนแล้ว...ทำงานที่ไหน อ่อ ฉันเป็น บิซิเนสพาร์ทเนอร์ยูไลฟ์ พูดแล้วเท่มากเลย อย่างนี้ เรื่องอย่างนี้ต้องเกิด
 
คุณสุรชัย (เฮียฮ้อ)  : ช่วง Disrupt เนี่ยเป็นช่วงสำคัญนะครับ แล้วก็คนที่ไม่ปรับตัว ถ้าสมัยก่อนเขาเรียกว่าอะไรนะ จะเปลี่ยน หรือว่าจะรอให้ ถูกบังคับให้เปลี่ยน ถูกไหมครับ เมื่อก่อนพูดคำนั้นได้เพราะโลกมันช้า แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่นะ เดี๋ยวนี้มี 2 อย่าง คุณจะเปลี่ยนก่อนหรือจะไม่มีโอกาสเปลี่ยน 
คุณวรวิทย์  :  โห..ชอบอันนี้จัง มันเป็นอย่างนี้จริงๆครับ  เดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่าโลกเปลี่ยนหรือเปล่านะ เปลี่ยนก่อนหรือเปล่านะ เปลี่ยนช้าไม่ได้แล้วไง เปลี่ยนช้าเท่ากับไม่เปลี่ยน จะเห็นว่าผม Disrupt ตัวเองตลอดเวลา การ Disrupt ตัวเองไม่ได้หมายความว่าธุรกิจที่เฮียฮ้อทำอยู่จะไม่ดี ถึงต้องมา Disrupt นะไม่ใช่ เทรนด์มันจะเป็นอย่างนี้นะ ถ้าเราไม่เปลี่ยนก่อน เราอาจจะลำบากนะ แล้วเปลี่ยนตอนกำไร เปลี่ยนตอนมีกำไรมันดีกว่าขาดทุนไง เพราะงั้นผมจึงเข้าใจเรื่องพวกนี้ผมจึงบอกว่า เอาส่วนตัวเฮียมั่นใจก็แล้วกันนะครับว่า ผมมั่นใจว่า ULife เมื่อมาอยู่ในการดูแลของเฮียนะครับ ผมมีทีมทำงาน ผมได้ทีมทำงานมาครบเลย นี่คือหัวใจสำคัญเลย ผมไม่ต้องมานั่งนับหนึ่งหาคนโน้นคนนี้ใหม่ ต่อทันที ต่อยอดได้เลย เตรียมอาวุธให้ได้เลย แล้วก็ แค่ให้ทุกคนเข้าใจแล้วกล้าที่จะเปลี่ยน อย่าอยู่กับ Comfort Zone, Comfort Zone ไม่มีจริงในโลกปัจจุบันนะครับ มันคือเรื่องที่เราสร้างขึ้นมา เพื่อทำให้ตัวเองสบายใจเท่านั้นเองเพราะฉะนั้นผมจะย้ำเรื่องนี้ตลอดเวลาคุยกับผู้นำ เวลาผู้นำถ่ายทอด BP วันนี้ผมจะบอกว่า พวกเราต้องกล้าเปลี่ยนนะ อย่าทำในแบบที่เราเคยทำ คุณเคยทำดีมาแล้ว วันนี้ทิ้งมันซะ เปลี่ยนไปเลย คุณเคยทำเจ๋งมาแล้วเนี่ย หยุด! ไม่ต้องคิด คิดใหม่เลย ทำใหม่เปลี่ยนแปลง เพราะว่าถ้าเราต้องการผลลัพธ์ที่แตกต่างมาก ถ้าคุณยังทำแบบเดิมๆ คิดแบบเดิมๆ มันได้ผลงานที่แตกต่างได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ลืมไปซะ เอาข้อดีที่เรามี เอาความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์เรา ความรักในองค์กร ULife นะครับ นี่คือจุดแข็งที่เรามีอยู่นะครับ มาบวกกับ Passion นะครับ มาบวกกับ Vision เฮียแล้วก็กลยุทธ์ที่ผมให้ไป เฮียมีหน้าที่ของเฮีย ทีมบริหารมีหน้าที่ ทีม BP มีหน้าที่ ทุกคนก็จะมีหน้าที่ในเลเยอร์ที่แตกต่างกัน 1,300ล้านมันเกิดไม่ได้ที่เฮียนะครับ เฮียคิด เฮียตั้งเป้า แต่ไม่ได้ตั้งเป้าลอยๆ เฮียมีกลยุทธ์มาด้วย ทีมเอากลยุทธ์ไปวาง BP ตั้งแต่ระดับผู้นำและทุกๆคนคือแม่ทัพที่จะไปออกรบเพราะฉะนั้นมันจะทำงานแต่ละ...ทุกส่วนจะทำงานของตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ แล้วเราก็จะชนะด้วยกัน